บทความฟุตบอล เปิดประวัติ คาเซมิโร่ กองกลางพันธุ์ดุ -

✪ บทความฟุตบอล เปิดประวัติ คาเซมิโร่ กองกลางพันธุ์ดุ ✪

บทความฟุตบอล เปิดประวัติ คาเซมิโร่ กองกลางพันธุ์ดุเส้นทางการค้าแข้ง

บทความฟุตบอล เปิดประวัติ คาเซมิโร่ กองกลางพันธุ์ดุ สำหรับกองกลางตัวรับคนใหม่ของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หลังย้ายจากเรอัล มาดริด มาเล่นในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา แน่นอนว่า การมาเล่นในพรีเมียร์ลีก เป็นครั้งแรกในชีวิต เขาต้องอาศัยการปรับตัว จนฟอร์มการเล่นค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ เขาสามารถตัดเกมฝ่ายตรงข้ามได้มากขึ้น ทำให้ “ปีศาจแดง” มีผลงานที่ยอดเยี่ยม ช่วงนี้ เราลองย้อนกลับไปดูเส้นทางลูกหนังของคาเซมิโร่ กันหน่อย บอกเลยว่า เขาเหมือนกับเด็กบราซิเลี่ยน ส่วนใหญ่ ที่ต้องเจอกับความยากลำบากมาตั้งแต่เด็กๆ รวมถึงอุปสรรคการใช้ชีวิตในหลายด้าน ซึ่งปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมด หล่อหลอมให้เขากลายเป็นนักฟุตบอลระดับโลก เหมือนเช่นทุกวันนี้

คาเซมิโร่ เกิด และเติบโตที่ เซา เปาโล ประเทศบราซิล โดยเกิดมาในครอบครัวที่ฐานะยากจน แน่นอนว่า ชีวิตของเขาไม่เคยเป็นเรื่องง่าย เขาต้องฝ่าฟันกับความยากลำบาก ผลสุดท้าย เขาค้นพบกับ “ฟุตบอล” ซึ่งเป็นเครื่องมือที่พาตัวเอง และครอบครัวหลุดพ้นจากวงจรเหล่านั้น คาเซมิโร่ เปรียบการเล่นฟุตบอลของตัวเองว่า คือต่อสู้ในทุกจังหวะการเล่น เพราะนั่นหมายถึงความอิ่มท้องของคนในครอบครัว คุณแม่ของเขาเป็นคนงานทำความสะอาด ความยากจนทำให้ครอบครัวต้องอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ บางวัน อาหารมีไม่เพียงพอสำหรับทุกคนด้วยซ้ำไป “สำหรับผม ฟุตบอลคือหนทางอยู่รอด นี่คือถนนที่ทอดยาวสู่ความสำเร็จบางอย่างในชีวิต” คาเซมิโร่ เริ่มกล่าว ด้วยวัยเพียง 10 ปี เขาตบเท้าเข้าสู่ระบบเยาวชนของเซา เปาโล สโมสรยักษ์ใหญ่ของประเทศ ชีวิตเขาปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล ด้วยการมีรองเท้าสตั๊ด และอาหารดีๆ เอาไว้รับประทาน เขากลายเป็นความหวังของคนทั้งบ้านในทันที

คาเซมิโร่ กล่าวต่อไปว่า “ผมคงไม่มีวันนี้ หากไม่มีคุณแม่ นอกจากนี้ ผมโชคดีที่ได้มาพบกับฟุตบอล สำหรับผมมองแล้วว่า เด็กคนอื่นไม่มีโอกาสแบบนี้ ผมรู้ดีว่ามันยากลำบากแค่ไหน นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมผมถึงทำทุกอย่างด้วยหัวใจแบบ 200 เปอร์เซ็นต์” “โลกของฟุตบอล ไม่ใช่แค่เรื่องขาทั้งสองข้าง แต่เป็นเรื่องของจิตใจด้วย คุณต้องแข็งแกร่ง และดุดัน ผมชอบความท้าทาย และการเข้าปะทะ กุญแจสำคัญคือ การเล่นแบบใช้ความคิด, การเข้าไปอยู่ในพื้นที่ที่ดี และการเคลื่อนที่ให้ฉลาด” เขากำชับ หลังจากก้าวมาเล่นทีมชุดใหญ่ของเซา เปาโล เรอัล มาดริด ก็คว้าตัวมาร่วมทีม โดยส่งไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์กับทีมสำรองของ “ราชันชุดขาว” เสริมด้วยการยืมตัวกับเอฟซี ปอร์โต้ เพียงไม่นาน เขาถูกผลักดันสู่ทีมชุดใหญ่ และพาตัวเองเข้าไปสู่หน้าประวัติศาสตร์ 1 ทศวรรษใน “ซานติอาโก้ เบอนาเบว” คาเซมิโร่ กลายเป็นกองกลางตัวรับแถวหน้าของโลกลูกหนัง ผู้พาเรอัล มาดริด กวาดทุกแชมป์ที่ลงแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็น ลาลีกา 3 สมัย, โกปา เดล เรย์ 1 สมัย, ซูเปอร์ โกปา 3 สมัย, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 5 สมัย, ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 3 สมัย และสโมสรโลก 3 สมัย

เพื่อนร่วมทีม “ราชันชุดขาว” บอกว่า ความสำเร็จของคาเซมิโร่ ไม่ได้มาเพราะพรสวรรค์ หรือว่าโชคช่วย แต่เกิดจากการอุทิศตน และทำงานอย่างหนัก เขาชอบใช้ชีวิตที่โรงยิมเป็นอย่างมาก นอกจากการฝึกซ้อมร่างกายแล้ว เขายังศึกษาวิดีโอ และการวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง เพราะเชื่อมั่นเสมอว่า การตัดสินใจที่ดี ไม่ได้เกิดจากการคาดเดา หรอสัญชาตญาณเพียงอย่างเดียว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการเตรียมพร้อมอย่างดีที่สุด “หน้าที่ของผมคือการช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีม และเติมเต็มช่องว่างที่หายไป” เขาเล่าเสริม “ผมชอบเรียนรู้ ผมมักดูสิ่งต่างๆย้อนหลัง เพื่อมองถึงข้อผิดพลาด และประเมินมัน ผมชอบอะไรแบบนั้น” “ผมพยายามอ่านเกม และอ่านใจผู้เล่น กับโค้ชของฝ่ายตรงข้าม ผมหมั่นศึกษาว่า คู่แข่งชอบทำอะไรเป็นประจำ บ่อยครั้งที่รายละเอียดเล็กน้อย สามารถสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่างได้ ผมมีแพลตฟอร์มการวิเคราะห์ฟุตบอล เวลาผมหมกมุ่นอยู่กับสิ่งนี้ ภรรยาของผมรู้สึกรำคาญเหมือนกัน แต่นี่คืองานของผม ผมรักมัน ฟุตบอลคือชีวิตของผม” “การเล่นในสนาม ผมอาจมีตะโกนอยู่บ้าง นี่คือบุคลิกของผม จิตใจของผมค่อนข้างสงบ แม้ว่าสไตล์การเล่นของผมค่อนข้างดุดันก็ตาม ผู้คนเห็นตรงจุดนั้นแล้ว” คาเซมิโร่ ทิ้งท้ายถึงตัวตนว่า การเดินทางของชีวิตที่แสนยาวไกล ทั้งโลกความเป็นจริง และโลกฟุตบอล เขาไม่อาจยืนตรงจุดนี้ได้ หากปราศจากแรงขับเคลื่อนจากคุณแม่

โดยบอกว่า “สิ่งที่แม่ผมย้เตือนำเสมอคือ ความเป็นคนสุภาพ และปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งคุณไม่อาจสูญเสียสิ่งเหล่านั้นได้ คำสอนของแม่ สะท้อนออกมาในสนามแข่งขัน” “คุณไม่จำเป็นต้องตะโกน เพื่อแสดงออกถึงความเป็นผู้นำ คุณสามารถเป็นคนที่เงียบขรึมได้ ผู้คนอาจคิดว่า ผมเป็นคนที่พูดไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม ผมชอบคุยกับผู้เล่นอายุน้อย บางครั้ง การพูดคุยกับใครสักคนเป็นการส่วนตัว ดีกว่าการคุยกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ พวกเขาเข้าใจดี นั่นคือสิ่งสำคัญ”