บทความฟุตบอล ดานี่ ปาเรโฆ่ จากนักเตะรุ่นเยาวชน สู่กัปตันทีมบาเลนเซีย
แต่ทว่าเส้นทางของเขาไม่สวยหรูอย่างที่ใครหลายคนคิด?!
บทความฟุตบอล ดานี่ ปาเรโฆ่ นักเตะตำแหน่งมิดฟิล์ดวัย 32 ปี รายนี้ ตกเป็นเหยื่อในเหตุการณ์ที่ดาวเตะทั้งหลายถูกข้ามเสมอ ในยุคที่ทีมชาติแก่งแย่งกันห่ำหั่นไปทั่วทุกมัมโลก
นี่คือคำพูดของเขาเอ่ยหลังจากที่เข้าสู่ทัพกระทิงดุลุยฟุตบอลโลกที่รัสเซียปี 2018 โดยได้กล่าวไว้ว่า “ในที่สุดสิ่งที่ผมทุ่มเทไปมันก็เห็นผล”
นับว่าการได้รับใช้ชาติในครั้งนี้ทำให้เขารู้สึกภูมิใจเอามาก ๆ แต่ในขณะเดียวกัน เหตุการณ์ ณ ตอนนั้นก็สร้างความขุ่นเคืองใจให้ตัวเขาเองในเวลาเดียวกัน
อดีตกองกลางจากทัพ “ค้างคาว” กลับไม่ได้ลงสนามเลยแม้แต่เกมเดียวในระหว่างการแข่งขันฟุตบอลโลกที่จัดขึ้นในรัซเซีย หลังจากที่ได้ประเดิมสนามในทีมชาติเพียง 2 นัดเท่านั้นในปีท่าผนมา โดยได้ลงเล่นนัดแรกในเกมอุ่นเครื่องที่ต้องเจอกับ อาร์เจนติน่า
ด้วยสไตล์การเล่นฟุตบอลที่เรียบง่ายไม่หวือหวาก็สิ่งที่ทำให้เราเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงไม่ได้รับโอกาสในการลงเล่นเท่าที่ควร หากนำเขาไปเทียบกับแข้งคนอื่น ๆ ก็จะดูโดดเด่นขึ้นมาซะมากกว่า
และจุดนั้นยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของ “ปาเรโฆ่” และทีมชาติสเปนดูห่างเหิน และแทบไม่มีโอกาสหวนกลับมาเจอกันได้ในเร็ว ๆ นี้
เส้นทางชีวิตใน “ลา ฟาบริก้า” ที่ดีจะสับสน
ในปี 2007 เจ้าตัวคือ หนึ่งในเตะทีมชาติสเปนชุดแชมป์ยูโร U – 19 ซึ่งมี “ชาบี มาร์ติเนซ” และ “เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า” เป็นตัวตั้งตัวตีในทีมชุดนั้นด้วย
กองกลางจากเมืองคอสดาล่ายังเป็นผู้ยิงประตูในนัดชิงที่ต้องเจอกับกรีซอีกด้วย ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นจะทำให้เขาได้รับตั๋วเข้าสู่ทีมชาติชุดใหญ่ไปนานอีกหลายปี
ด้วยฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมในทัวร์นาเม้นต์นั้นทำให้ตำนานจาก “เรอัล มาดริด” อย่าง “อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่” กล่าวยกย่องดาวเตะรายนี้ว่า “นี่คือดาวรุ่งที่มีพรสวรรค์ที่สุดใน ลา ฟาบริก้า นับว่าเป็นปรากฏการณ์ของรุ่นเยาชนเลยก็ว่าได้”
นั่นทำให้หลายคนคาดหวังว่า กองกลางหนุ่มรายนี้ จะกลายเป็นผู้เล่นระดับโลกของ “ราชันชุดขาว” ในอนาคตอย่างแน่นอน แต่ทว่าเรื่องมันกลับไม่ได้สวยงามตามคำที่ผู้คนคาดหวัง
ก่อนที่เจ้าตัวจะไม่สามารถต่อยอดไปเล่นทีมชุดใหญ่ในทีมชาติสเปนได้แล้ว กองกลางวัย 32 ปี รายนี้ก็ยังถูกเมินไม่ต่างกับ “กูตี” และ “ราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ท” เลยแม้แต่น้อย
ถึงแม้ว่าจะได้รับโอกาสรับใช้ทีมชุดใหญ่ แต่กองกลางชาวสแปนิชได้โอกาสแสดงฝีเท้าเพียงแค่ไม่กี่นั้นเท่านั้น ก่อนที่จะถูกย้ายไปเล่นกับ “คิวพีอาร์” ในการแข่งขัน “เดอะแชมเปี้ยนส์ชิพ” ด้วยสัญญายืมตัวแบบมึนงงเป็นระยะเวลากว่า 5 เดือน
ในช่วงเวลานั้น เขาคงต้องคิดหาทางย้ายออกทีมเพื่อหาโอกาสลงสนามที่สม่ำเสมอมากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นเจ้าตัวจะต้องกลายเป็นดาวรุ่งที่ล้มเหลวในโลกแห่งฟุตบอลเท่านั้น
เลือกเส้นทางเดินใหม่ และก้าวขึ้นสู่กัปตันทีม
กองกลางในวัยหนุ่มเลือกย้ายมาเล่นให้ทีมที่เล็กกว่าทัพ “ราชันชุดขาว” หลายเท่าตัวอย่างสโมสร “เกตาเฟ่” ในปี 2009 ซึ่งนั่นคือสโมสรที่ทำให้เขาโชว์ฝีเท้าได้อย่างเต็มที่
ในช่วงเวลา 2 ปี ให้หลังจากค้าแข้งกับทีมที่ตั้งอยู่กรุงมาดริดนี้ กองกลางสายเลือดกระทิง มีส่วนช่วยให้ “เอล เกต้า” ได้ก้าวขึ้นมาสู่โลกของศึก “ยูโรป้า ลีก” ได้เป็นครั้งที่ 2 ในประวติศาสตร์สโมสร และฟอร์มการเล่นที่ร้อนแรงยิ่งทำให้ชื่อเสียงเขานั้นกลับมาเป็นที่กล่าวขานอีกครั้งในตลาดซื้อขายนักเตะ
สุดท้ายก็กลายเป็นว่า “บาเลนเซีย” ที่สามารถคว้าตัวเขามาได้ในปี 2011 และรับใช้สโมสรยาวนานกว่า 10 ปี ซึ่งเป็นทีมที่ทำให้แฟนบอลหลายคนได้ยินชื่อเสียงของเขาอย่างแท้จริง
ณ สนามเมสตาย่า เขาพัฒนาตัวเองไปได้ใกลจนถึงขั้นได้ยกย่องว่าเป็นหนึ่งในกองกลางที่ครบเรื่องที่สุดในยุโรป และได้รับเกียรติใส่ปลอกแขนกัปตันประจำทัพ “ค้างคาว” ตั้งแต่ปี 2014
ด้วยความเป็นผู้นำของเขาเองช่วยให้ “บาเลนเซีย” กลับไปเล่นในแชมเปี้ยนส์ลีกอีกครั้งในฤดูกาล 2018 – 2019 หลังจากที่ผ่านช่วงเปลี่ยนตัวนายหฬ่ยมาหลายรายในสโมสรแห่งนี้
ระยะเวลากว่า 4 เดือนที่ “แกรี่ เนวิลล์” เข้ามาคุมทัพได้มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งกัปตันทีมเกิดขึ้น โดยเลือกที่มอบตำแหน่งนี้ให้กับ “ปาโก้ อัลกาเซร์” กองหน้าของทีม ซึ่งผลที่ได้ก็คือเสียงประท้วงของแฟน ๆ สโมสร ที่ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้เลย ก่อนที่จะมีการมอบตำแหน่งคืนให้เขาในฤดูกาลที่ 2017 – 2018
ไม่ใช่ว่าความสามารถในการนำคนเท่านั้น ที่อดีตเด็กปั้น “เรอัล มาดริด” ได้รับการยกย่องจากเหล่าบรรดาแฟนบอล แต่เขายังเป็นหนึ่งในนักเตะที่มีสถิติในการจ่ายบอลได้ดีที่สุดของ “ลาลีก้า สเปน” ใน่ชวงหลายปีที่ผ่านมา รวมถึงการจบสกอร์ของเขาก็อันตรายไม่แพ้กับสถิติอื่น ๆ เลย
ไม่ต่างจากวิสกี้ชั้นเลิศ
ลักษณะของวิสกี้ชั้นเยี่ยมนั้นยิ่งใช้เวลาบ่ม หรือมีอายุมากขึ้นเท่าไหร่ ความพรีเมี่ยมก็ยิ่งดีขึ้นไปกว่าเดิมหลายเท่าตัว ซึ่งถ้าหากมองกันดี ๆ แล้ว ตัวของ “ปาเรโฆ่” ก็เปรียบเสือมนสิ่งเหล่านี้เช่นเดียวกัน
ฤดูกาล 2019 – 2020 เขาทำประตูให้ทีมถึง 10 ลูกจาก 47 นัดในทุกรายการ ซึ่งอาจดูไม่มาก แต่ถึงนั้นก็มาเป็นอันดับที่ 2 ของสโมสร เป็นรองแค่ “มักซี่ โกเมซ” เท่า (11 ประตู)
ปาเรโฆ่ มีความสำคัญต่อ “บาเลนเซีย” มาก ๆ และจนทำให้เชื่อว่าในทีมคงไม่มีใครสามารถแทนที่ตำแหน่งของเขาในตอนนี้ได้เลยแม้แต่คนเดียว
แต่ถึงอย่างนั้นด้วยสภาพการเงินที่ไม่ดีนักทำให้ทีมเลือกปล่อย กองกลางกัปตันทีมย้ายซบ “บียาร์เรอัล” ที่เป็นทีมคู่แข่งแบบไร้ค่าตัวในปี 2020 พร้อม ๆ กับ “ฟรานซิส โกเกอแล็ง” ไม่แปลกที่แฟนบอลจะประท้วง “ปีเตอร์ ลิม” เจ้าของทีมที่เลือกตัดสินใจแบบนี้
เพียงปีแรกกับทัพ “เรือดำน้ำสีเหลือง” กองกลางวัย 32 ปี ก็ปรับตัวเข้ากับทีมได้อย่างรวดเร็ว และเป็นตัวหลักในแดนกลางที่ “อูไน เอมเมอรี่” ไว้วางใจ โดยลงเล่นไปถึง 53 นัด มากสุดเป็นอันดับ 2 เป็นรองแค่ “มานู ตริเกรอส” เท่านั้น
และที่สำคัญ เขายังพา “บียาร์เรอัล” คว้าแชมป์ยุโรปรายการมาครองในประวัติศาสตร์สโมสรกับถ้วย “ยูโรป้า ลีก” หลังเอาชนะจุดโทษ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ในนัดชิงชนะเลิศ 11 – 10 ในปี 2021
และในฤดูกาลปัจจุบัน กองกลางชาวสแปนิช ก็กำลังจะพาต้นสังกัดลุ้นอันดับท็อป 4 เพื่อคว้าตั๋วไปเล่นใน “แชมเปี้ยนส์ลีก” ให้ได้ในฤดูกาลหน้า เพียงแต่อาจจะเหนื่อยกว่าเดิมพอสมควร เมื่อต้องเบียดตำแหน่งกับ บาร์เซโลน่า, แอตเลติโก้ มาดริด, เรอัล เบติส และ เรอัล โซเซียดาด
ลีกของแดนกระทิงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลายคนอาจจะมองว่ามีแค่ “ลิโอเนล เมสซี่” และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้” เท่านั้นที่สามารถทำผลงานได้อโดดเด่น และมีผลงานที่ชัดเจนกว่านักเตะคนไหนในลีก
แต่กองกลางอย่าง “ปาเรโฆ่” ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ทำหน้าที่ของตัวเองได้ไม่มีพลาด ซึ่งก็ไม่ต้องจาก “เซร์กิโอ บุสเก็ตส์” กองกลางอีกรายในทีมชาติสเปนเลย
เขาอาจจะไม่ได้สร้างความน่าดึงดูด หรือปรากฏการที่หวือหวาแบบที่ “ดิ สเตฟาโน่” เคยกล่าวไว้เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา แต่หลังจากหมดยุคของ “ชาบี เอร์นานเดซ” และ “อันเดรส อิเนียสต้า” ก็ไม่มีกองกลางเลือดกระทิงหน้าไหนใน “ลาลีก้า” ที่จะมีคุณสมบัติครบเครื่องไปกว่า “ดานี่ ปาเรโฆ่” ได้อีกแล้วในตอนนี้
ติดตามข่าวสารฟุตบอลไปกับกูรูคาเฟ่ คลิก
ให้ฟุตบอลเป็นมากกว่ากีฬา
รับทีเด็ดแม่นๆ ส่งตรงจากคอลัมนิสต์ตัวจริง
คลิกเลย @UFA88SV1